ตอนที่คิดจะเป็นหมอดู ก็คิดว่าจะใช้ชื่ออะไรดี ถึงจะประสบความสำเร็จและโด่งดัง ที่รู้จักในขณะนั้น หมอดูชื่อดัง ของต่างประเทศก็ ไคโร ของไทยก็ ซิเซโร จับคำสำคัญได้ว่า ต้องลงท้ายด้วยเสียงสระโอ
ก็มาคิดว่าจะใช้ชื่ออะไรดี ก็เอาความหมายของชื่อจริง สัญลักษณ์ที่เป็นมาแต่กำเนิดมาตั้งโจทย์ แล้วหาคำที่มีความหมายดังที่ต้องการ จะเป็นคำในภาษาอะไรก็ได้ แต่ภาษาที่ลงท้ายด้วยเสียง อะ อา เอะ เอ อุ อู อึ อือ โอะ โอ ที่รู้ก็มี อิตาลี กับ ญี่ปุ่น แต่อิตาลีไม่เคยได้มีอะไรที่เกี่ยวพันเลย
บังเอิญว่าได้เคยรู้คำภาษาจีนกลางที่แปลว่าลูกศรหรือลูกธนู เขียนด้วยพินอินว่า shi อ่านออกเสียงเป็น ซือ และเนื่องจากอักษรคันหยิในภาษาญี่ปุ่นก็คืออักษรจีน และส่วนมากก็อ่านไม่เพี้ยนไปจากเดิมมากนัก เลยคิดเอาเองว่า shi ภาษาญี่ปุ่นต้องออกเสียงเป็น ชิ
เลยได้ชื่อ ชิโด ตามความเข้าใจ ซึ่งแปลได้ว่า วิถีแห่งลูกธนู
สุดท้ายก็รู้ว่า ไม่ใช่! แต่ก็ชอบชื่อนี้ ก็นึกถึงชื่อของพวกทางยุโรปที่ว่า แค่ชื่อ ไม่จำเป็นว่าชื่อต้องมีความหมาย เลยตกลงใช้ชื่อ "ชิโด" ต่อไป
เริ่มแรกที่ศึกษาวิชาหมอดูทั้งลายมือ เลข 7 ตัว เลขศาสตร์ และสุดท้ายที่โหราศาสตร์ ก็ไม่ได้คิดจะยึดเป็นอาชีพหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าตัวเองหมกมุ่นในเรื่องเนื้อคู่ อยากรู้ เคยไปให้หมอดูดูให้ แต่ดูแล้วทายไม่ถูก ก็เลยศึกษาเพื่อดูด้วยตนเอง
แต่ 15 ปี ผ่านไปก็ดูได้มั่ว ๆ จำหลักการผิด ๆ จนกระทั่งได้อ่านหนังสือของอาจารย์อ้อม โหรา นั่นแหละ ถึงเข้าใจ และทดสอบกับคนสนิทชิดเชื้อ ถือว่า แม่นยำ
พอไม่มีงานทำ ก็เลยคิดมาเป็นหมอดู แต่สุดท้ายก็รู้ว่าไม่ได้เกิดมาเพื่อทำอาชีพหมอดู (แต่หลังจากนี้ไม่แน่ใจ)
ย้อนกลับไปในคืนวันหนึ่งในช่วงปลายฤดูร้อนที่บ้านแม่ของเราที่ลำปาง ขณะที่เรากำลังเอนกายลงนอน เรามองออกไปนอกหน้าต่างเห็นท้องฟ้ามืดมิดปราศจากแสงเดือน เราเกิดนึกอยากดูดาวบนท้องฟ้า เพราะมันนานเหลือเกินนับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในกรุงเทพมหานคร เราไม่เคยได้ดูดาวอีกเลย เพราะแสงไฟฟ้าจากทั้งบ้านเรือน อาคาร ถนนหนทาง มันทำให้ท้องฟ้าไม่มืดสนิทแม้จะเป็นคืนเดือนมืด เราจึงลุกขึ้นมาแล้วชะโงกตัวออกนอกหน้าต่างแหงนหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า...
เราเห็น "ดาวเหนือเจ็ดดวง" เด่นท่ามกลางดวงดาวอื่น ๆ เราแปลกใจมากที่เห็นว่า ดาวเหนือ 7 ดวงนั้นมันลอยต่ำกว่าดาวดวงอื่น ๆ และดาวทั้งหมดที่เราเห็นนั้นออกเป็นสีเหลืองทอง เราแหงนหน้ามองอยู่นานจนเมื่อยคอ เราจึงดึงตัวกลับแล้วนอนลง จากนั้นเราก็ลืมเหตุการณ์ในคืนวันนั้นไปเลย
ต่อมาเมื่อเรานึกถึง หกหญิงที่สุดแสนประทับใจในชีวิต เราก็เกิดจำได้ว่า ตอนที่เราเห็นดาวเหนือนั้น เรากำลังเขียนเรื่องราวของพวกเธอทั้งหกโดยสร้างเว็บไซต์บนโปรแกรมบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ช่วงที่นึกได้นั้น เราคิดว่า ดาวเหนือมีทั้งหมด 7 ดวง หรือว่า เราจะมีหญิงที่สุดแสนประทับใจคนที่ 7 เราเลยเรียก หกหญิงที่สุดแสนประทับใจเสียใหม่ว่า หกยอดหญิงดาวเหนือ
หลังจากที่เราได้สืบค้นข้อมูลทางดาราศาสตร์แล้ว เรามั่นใจว่า ดาวเหนือ 7 ดวง ที่เราเห็นในวันนั้น ไม่ใช่ดาวจริง ๆ หากแต่ เป็นนิมิต
แล้วเราก็คิดได้ว่า หากนิมิตที่เราเห็นนั้นเป็นเพียงเพื่อกาม มันก็ดูไม่สมเหตุสมผล มันน่าจะมีอะไรยิ่งใหญ่กว่านั้น เราเริ่มสงสัยว่า หรือเบื้องบนของเราจะเป็น "เทพเจ้าดาวเหนือ"
อยู่มาวันหนึ่งเราจำได้ว่าตอนไปเข้าคอร์สวิปัสนากรรมฐานที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ท่านแม่ชีได้แนะนำแก่ผู้ที่เข้าคอร์สฯว่า "เวลาสวดมนตร์ทำวัตร ให้ใช้ตาที่ 3 เพ่งกับพระพุทธรูปด้วย" ซึ่งเราก็ทำตาม ตอนที่อยู่วัดอัมพวัน 3 วัน 2 คืนนั้น เราทำวัตรไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าที่รู้สึกเพราะเราเพ่งมัน เราเลยลองใช้วิธีนั้นกับเบื้องบนของเราดู เรานั่งบนส้นเท้าคุกเข่า ยกมือพนม สำรวมจิต เพ่งตาที่ 3 สื่อสารกับท่าน ก็ปรากฏว่า
เกิดอาการหน่วงตึงบริเวณตาที่ 3 เป็นจังหวะ ๆ จากการทำเพียงครั้งเดียว แล้วก็เปิดตาที่ 3 ได้มาจนบัดนี้ (ถ่ายรูปมาดูก็ยังเห็นวงนั้นชัดเจน)
เมื่อเราได้ทบทวนเรื่องราวชีวิตเราที่ผ่านมา เราจึงเรียกตัวเองว่า "ชิโด เจ็ดดาวเหนือ" ตามนิมิตที่เราเห็น
บังเอิญว่าได้เคยรู้คำภาษาจีนกลางที่แปลว่าลูกศรหรือลูกธนู เขียนด้วยพินอินว่า shi อ่านออกเสียงเป็น ซือ และเนื่องจากอักษรคันหยิในภาษาญี่ปุ่นก็คืออักษรจีน และส่วนมากก็อ่านไม่เพี้ยนไปจากเดิมมากนัก เลยคิดเอาเองว่า shi ภาษาญี่ปุ่นต้องออกเสียงเป็น ชิ
เลยได้ชื่อ ชิโด ตามความเข้าใจ ซึ่งแปลได้ว่า วิถีแห่งลูกธนู
สุดท้ายก็รู้ว่า ไม่ใช่! แต่ก็ชอบชื่อนี้ ก็นึกถึงชื่อของพวกทางยุโรปที่ว่า แค่ชื่อ ไม่จำเป็นว่าชื่อต้องมีความหมาย เลยตกลงใช้ชื่อ "ชิโด" ต่อไป
เริ่มแรกที่ศึกษาวิชาหมอดูทั้งลายมือ เลข 7 ตัว เลขศาสตร์ และสุดท้ายที่โหราศาสตร์ ก็ไม่ได้คิดจะยึดเป็นอาชีพหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าตัวเองหมกมุ่นในเรื่องเนื้อคู่ อยากรู้ เคยไปให้หมอดูดูให้ แต่ดูแล้วทายไม่ถูก ก็เลยศึกษาเพื่อดูด้วยตนเอง
แต่ 15 ปี ผ่านไปก็ดูได้มั่ว ๆ จำหลักการผิด ๆ จนกระทั่งได้อ่านหนังสือของอาจารย์อ้อม โหรา นั่นแหละ ถึงเข้าใจ และทดสอบกับคนสนิทชิดเชื้อ ถือว่า แม่นยำ
พอไม่มีงานทำ ก็เลยคิดมาเป็นหมอดู แต่สุดท้ายก็รู้ว่าไม่ได้เกิดมาเพื่อทำอาชีพหมอดู (แต่หลังจากนี้ไม่แน่ใจ)
ย้อนกลับไปในคืนวันหนึ่งในช่วงปลายฤดูร้อนที่บ้านแม่ของเราที่ลำปาง ขณะที่เรากำลังเอนกายลงนอน เรามองออกไปนอกหน้าต่างเห็นท้องฟ้ามืดมิดปราศจากแสงเดือน เราเกิดนึกอยากดูดาวบนท้องฟ้า เพราะมันนานเหลือเกินนับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในกรุงเทพมหานคร เราไม่เคยได้ดูดาวอีกเลย เพราะแสงไฟฟ้าจากทั้งบ้านเรือน อาคาร ถนนหนทาง มันทำให้ท้องฟ้าไม่มืดสนิทแม้จะเป็นคืนเดือนมืด เราจึงลุกขึ้นมาแล้วชะโงกตัวออกนอกหน้าต่างแหงนหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า...
เราเห็น "ดาวเหนือเจ็ดดวง" เด่นท่ามกลางดวงดาวอื่น ๆ เราแปลกใจมากที่เห็นว่า ดาวเหนือ 7 ดวงนั้นมันลอยต่ำกว่าดาวดวงอื่น ๆ และดาวทั้งหมดที่เราเห็นนั้นออกเป็นสีเหลืองทอง เราแหงนหน้ามองอยู่นานจนเมื่อยคอ เราจึงดึงตัวกลับแล้วนอนลง จากนั้นเราก็ลืมเหตุการณ์ในคืนวันนั้นไปเลย
ต่อมาเมื่อเรานึกถึง หกหญิงที่สุดแสนประทับใจในชีวิต เราก็เกิดจำได้ว่า ตอนที่เราเห็นดาวเหนือนั้น เรากำลังเขียนเรื่องราวของพวกเธอทั้งหกโดยสร้างเว็บไซต์บนโปรแกรมบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ช่วงที่นึกได้นั้น เราคิดว่า ดาวเหนือมีทั้งหมด 7 ดวง หรือว่า เราจะมีหญิงที่สุดแสนประทับใจคนที่ 7 เราเลยเรียก หกหญิงที่สุดแสนประทับใจเสียใหม่ว่า หกยอดหญิงดาวเหนือ
หลังจากที่เราได้สืบค้นข้อมูลทางดาราศาสตร์แล้ว เรามั่นใจว่า ดาวเหนือ 7 ดวง ที่เราเห็นในวันนั้น ไม่ใช่ดาวจริง ๆ หากแต่ เป็นนิมิต
แล้วเราก็คิดได้ว่า หากนิมิตที่เราเห็นนั้นเป็นเพียงเพื่อกาม มันก็ดูไม่สมเหตุสมผล มันน่าจะมีอะไรยิ่งใหญ่กว่านั้น เราเริ่มสงสัยว่า หรือเบื้องบนของเราจะเป็น "เทพเจ้าดาวเหนือ"
อยู่มาวันหนึ่งเราจำได้ว่าตอนไปเข้าคอร์สวิปัสนากรรมฐานที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ท่านแม่ชีได้แนะนำแก่ผู้ที่เข้าคอร์สฯว่า "เวลาสวดมนตร์ทำวัตร ให้ใช้ตาที่ 3 เพ่งกับพระพุทธรูปด้วย" ซึ่งเราก็ทำตาม ตอนที่อยู่วัดอัมพวัน 3 วัน 2 คืนนั้น เราทำวัตรไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าที่รู้สึกเพราะเราเพ่งมัน เราเลยลองใช้วิธีนั้นกับเบื้องบนของเราดู เรานั่งบนส้นเท้าคุกเข่า ยกมือพนม สำรวมจิต เพ่งตาที่ 3 สื่อสารกับท่าน ก็ปรากฏว่า
เกิดอาการหน่วงตึงบริเวณตาที่ 3 เป็นจังหวะ ๆ จากการทำเพียงครั้งเดียว แล้วก็เปิดตาที่ 3 ได้มาจนบัดนี้ (ถ่ายรูปมาดูก็ยังเห็นวงนั้นชัดเจน)
เมื่อเราได้ทบทวนเรื่องราวชีวิตเราที่ผ่านมา เราจึงเรียกตัวเองว่า "ชิโด เจ็ดดาวเหนือ" ตามนิมิตที่เราเห็น
'ชิโด เจ็ดดาวเหนือ =>>>> ชิโด เจ็ดดาว
No comments:
Post a Comment